Deepfake คือ เทคโนโลยีที่ใช้สร้างสื่อสังเคราะห์เพื่อปลอมแปลงลักษณะบุคคลต่าง ๆ ผ่านสื่อวิดีโอ รวมถึงภาพถ่าย และการบันทึกเสียง โดยใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถูกพัฒนาด้วยเทคโนโลยีการเรียนรู้แบบ "การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)" หรือโปรแกรมฝึกสอนของ AI ที่เลียนแบบการทำงานของโครงข่ายประสาทของมนุษย์ (Neural Network) ซึ่งทำให้ Deepfake มีความสามารถในการปลอมบุคคลต่าง ๆ ได้อย่างอัตโนมัติ และ แนบเนียนสุด จากการที่มันได้เรียนรู้ใบหน้าและเสียงของคนเหล่านั้นนั่นเอง
โดยคำว่า "Deepfake" มาจากการผสมคำว่า "Deep Learning" และคำว่า "Fake" ที่แปลว่า ปลอม จึงที่เป็นมาของชื่อดังกล่าว
บางคนอาจเคยเห็นคลิปวิดีโอ Deepfake บ่อย ๆ จากการเล่นสนุกของชาวเน็ตที่เปลี่ยนใบหน้าของตัวเองใส่ตัวละครในภาพยนตร์ ซึ่งในกรณีแบบนั้นก็ดูเหมือนจะไม่เสียหายอะไร แต่เนื่องจากมีคนบางกลุ่มได้นำเทคโนโลยีไปใช้ปลอมตัวเป็นบุคคลสำคัญ และสร้างสถานการณ์ให้เสื่อมเสีย
โดยเฉพาะที่ทำให้มันกลายเป็นข่าวดัง อย่างกรณีของวิดีโอ "บารัค โอบามา" ที่อัดคลิปด่า "โดนัลด์ ทรัมป์" อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ว่า "Dipshit" หรือ "ไอ้ทึ่ม" ซึ่งไม่น่าจะออกมาจากปากของบุคคลสำคัญอย่างเขาได้ และสุดท้ายผลปรากฏว่านั่นคือตัวปลอมที่ถูกสลับใบหน้าและปลอมเสียงด้วย Deepfake
เช่นเดียวกับ วิดีโอ "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" (ตัวปลอม) ที่อัดคลิปนั่งโม้เรื่อง "การครอบครองข้อมูลของคนหลายพันล้านคน (เหมือนที่ Facebook ทำอยู่ทุกวันนี้) คือการเป็นผู้กุมอนาคตที่แท้จริง ของโลก" ซึ่งมันก็คือคลิป มาร์ค ที่ถูกปลอมทั้งหน้าและเสียงเหมือนกัน
พอกระแส Deepfake เริ่มเข้าสู่ด้านลบ จากความสนุกก็กลายเป็นภัยบนโลกไซเบอร์รูปแบบใหม่ทันที ทั้งยังมีการ คาดการณ์ว่าคลิปวิดีโอ Deepfake จำนวนมากถึง 96 % ล้วนเป็นสื่อลามกอนาจารที่ปลอมแปลงใบหน้าคนดังมาใส่แทนดาราหนังผู้ใหญ่ หรืออาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่นการสร้างข่าวปลอม การขู่กรรโชก การฉ้อโกง หรือสร้างความอับอายต่อสาธารณะของบุคคลต่าง ๆ
ภายหลังหลายประเทศเริ่มมีท่าทีควบคุม Deepfake ที่เข้มงวดมากขึ้น บางประเทศก็ออกกฎหมายแบนเลยทีเดียว และเมื่อเร็ว ๆ นี้ทั้ง Google, Facebook และ Twitter แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ก็เริ่มที่จะปรับมาตรการควบคุม Deepfake ที่จงใจสร้างความเสียหายให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน